"Cyberbullying" การเข้าสู่โลกยุคดิจิทัล กับภัยการระรานทางไซเบอร์
ที่มา : http://www.nsm.or.th/other-service/671-online-science/knowledge-inventory/sci-vocabulary/sci-vocabulary-information-technology-museum/4128-cyberbullying.html
การกระทำที่เรียกกันว่า Cyberbullying หรือการระรานทางไซเบอร์ คือ การรังแกของคนในยุคไฮเทคโดยใช้เครื่่องมือสื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ เชื่อมต่อกับเครื่อข่ายสังคมออนไลน์เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรมหรืออื่นๆ เป็นเครื่องมือในการรังแกกลั่นแกล้งกัน การกระทำที่เข้าข่าย Cyberbullying จะเกิดจากเจตนาที่มุ่งร้ายให้อับอาย เจ็บปวด เสียใจ ดังนั้นการกลั่นแกล้งกันบนโลกออนไลน์จึงเป็นมักเป็นการกระทำซ้ำ ๆ ไม่ใช่กระทำเพียงครั้งเดียวแล้วเลิกการกระทำดังกล่าว
ประเด็นของ Cyberbullying สามารถแบ่งประเด็นหลัก ๆ ออกไปได้ 6 รูปแบบ (อาจมีมากกว่านี้) ดังนี้
1. การโจมตี ขู่ทำร้าย การโพสต์ข้อความหยาบคาย ด่าทอ หรือการให้ร้ายกันเช่น แชทเฟซบุ๊กว่าจะดักทำร้ายเมื่อเจอกัน
2. การคุกคามทางเพศบนโลกออนไลน์ โดยการพูดจาคุกคามทางเพศผ่านโซเชียลมีเดีย การส่งภาพ เป็นต้น
3. การแอบอ้างตัวตนของผู้อื่นเช่น การถูกสวมรอยใช้เฟสบุ๊กของตนเองโพสต์ให้ร้ายบุคคลอื่น
4. การแบล็กเมล์กัน โดยการความลับของบุคคลอื่นมาเปิดเผยบนสังคมออนไลน์ ทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลดังกล่าว
5. การหลอกลวง มีด้วยกันหลายรูปแบบมีทั้งการหลอกลวงให้เชื่อ ให้ออกมาพบเพื่อทำร้าย หรือการหลอกลวงเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้เสียหาย
6. การสร้างกลุ่มในโลกโซเชียลเพื่อโจมตีโดยเฉพาะเจาะจงบุคคล จับผิดทุกอิรอยาบถ และนำมาถกประเด็นให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลที่ไม่ชอบ
Cyberbullying เป็นคำที่ในความรู้สึกนึกคิดของหลายคนเป็นคำที่หลายครั้งตีความหมายยาก ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นวงจรที่บุคคลกระทำต่อกัน มีอยู่ 3 ลักษณะ
1. ลักษณะของความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา ซึ่งความรุนแรงทางวาจาจะไม่ชัดเจนเท่ากับทางกาย เพราะขึ้นอยู่กับการรับรู้ของผู้ฟังว่ารู้สึกอย่างไรเช่นืการพูดถึงลักษณะทางกายภาพ ข้อจำกัดหรือสมรรถนะของคนอื่น ๆ ไม่ว่าอย่างไรหากกระทบต่อความรู้สึกล้วนส่งผลตอ่ความรุนแรง
2. มีความเจตนา ตั้งใจที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้อีกบุคคลหนึ่งเจ็บปวดเช่น โพสต์ต่อว่าบุคคลอื่นด้วยถ้อยคำหยาบคาย
3. การที่อีกฝ่ายนึงแสดงอำนาจที่เหนือกว่า อาจเป็นการใช้น้ำเสียงที่เหนือกว่า การข่มขู่หรือกระทำการใด ๆ ให้อีกฝ่ายเกรงกลัว
วิธีการรับมือ
1. ต้องสงบสติ ควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ดี และแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่ควรทำแบบนี้
2. หากอีกฝ่ายยังมีพฤติกรรมที่มากขึ้น ต้องรวบรวมหลักฐานให้ผู้คุมกฎได้รับทราบ ไม่ควรปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นซ้ำ ๆ
3. มีเพื่อนที่ดีคอยรับฟัง หรือปรึกษากับคนที่ช่วยเหลือได้
กรณีศึกษาการระรานบนโลกไซเบอร์
ตัวอย่างของเหตุการณ์การระรานบนโลกไซเบอร์ที่นำมาเป็นกรณีศึกษาคือ ผุ้ปกครองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เปิดเผยภาพบทสนทนาระหว่างครูและนักเรียนในกลุ่มสนทนาในแอปพลิเคชั่นเฟซบุ๊กเมสเซนเจอร์ และได้เผยว่าลูกชายของตนถูกรังแก (บูลลี่) ทั้งที่ยอมรับว่าไม่ตั้งใจเรียน ไม่ค่อยพูด แต่กลับไม่ลงโทษหรือแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น แต่ใช้วิธีการดังกล่าวแทน ในส่วนที่ลูกตนผิด ก็ขอยอมรับและจะอบรมสั่งสอนให้มากขึ้น แต่ถึงอย่างก็ไม่ควรใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหา ผลกระทบที่เกิดตามมาคือเด็กไม่อยากเรียน เพราะอายไม่อยากเจอเพื่อน ไม่อยากเจอสังคม เพราะกลัวจะโดนล้อโดนแกล้ง
ต่อมาผู้ปกครองได้ไปคุยกับทางโรงเรียนแล้ว ผลสรุปที่ได้ออกมาคือ ทางโรงเรียนและคณะครูขอโอกาสในการแก้ไขเรื่องทั้งหมดไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับเด็กทุกคนในโรงเรียน
“ในส่วนของคนที่ออกมาปกป้องครู เราไม่ว่านะคะ เพราะพวกคุณมีสิทธิปกป้องคนที่คุณเคารพรัก เราก็ปกป้องลูกเรา เพราะเรารักลูกเราเหมือนกัน เรามีปัญหากับตัวบุคคล เราไม่ได้มีปัญหากับสถานศึกษา โปรดทำความเข้าใจด้วยนะคะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น มีเด็กๆ อีกหลายคนที่โดน แต่ไม่มีใครกล้าออกมาพูด หรือออกมาทำเหมือนที่แม่กำลังทำ จึงทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็เงียบหายไป” ผู้ปกครองคนดังกล่าว ระบุ ดังนั้นจึงสังเกตได้ว่าการกลั่นแกล้งจะมีการกระทำซ้ำ ๆ และอาจทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
แนวทางการรับมือ
1. กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจ เพื่อให้ผู้กระทำรู้ว่าไม่พอใจหรือรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดการกลั่นแกล้งซ้ำ
2. เมื่อถูกระราน กลั่นแกล้ง ต้องบอกผู้ปกครองหรือพ่อแม่ให้รับทราบ ปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนเกิดขึ้นอย่างนานเนื่องจากผู้กระทำไม่ได้บอกให้ใครทราบ ปัญหาจึงยังไม่ได้รับการแก้ไข
3. พฤติกรรมการกลั่นแกล้งบุคคลอื่นเปฺ็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย การใช้คำพูดทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด หรือการใช้กำลังก็ล้วนแต่เป็นเร่องที่ผิด สามารถดำเนินการตามกฏหมายได้
4. ดูแลสุขภาพกาย สุขภาพจิตให้ดีอยู่เสมอเพราะการถูกกลั่นแกล้งนั้นสร้างบาดแผลทางใจให้ผู้ถูกกระทำ
5. พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือบุคลากรทุกคนในโรงเรียนต้องร่วมมือกันในการตรวจสอบและหมั่นดูแลเด็ก ๆ ให้ดี
6. ทุกคนต้องมีความรู้ทางด้านดิจิทัล หรือการเป็นพลเมืองที่ดีบนโลกดิจิทัล จะช่วยลดการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ได้
อ้างอิง
ผู้จัดการออนไลน์. (2563). ผู้ปกครองนักเรียนโดนบูลลี่ในกลุ่มแชทเข้าพบ
ผอ.แจงขอโอกาสไม่ให้เกิดขึ้นอีก. ค้นเมื่อ 27 สิงหาคม 2563, จาก https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000071543
กรุงเทพธุรกิจ. (2563). แนะนำ 9 วิธีรับมือ เมื่อลูกโดน 'บูลลี่' ที่โรงเรียน. ค้นเมื่อ 27 สิงหาคม 2563, จาก https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/858979
พี่แรงโก้. (2560). "CYBERBULLYING" ภัยบนโลกออนไลน์ ทำร้ายวัยรุ่นได้ง่ายกว่าที่คิด.
ค้นเมื่อ 27 สิงหาคม 2563, จาก https://bit.ly/3b1wT9u
The Standard. (2563). ตอบคำถามให้หายคาใจ ทำกันแค่ไหนถึงเรียก Cyberbullying.
ค้นเมื่อ 27 สิงหาคม 2563, จาก https://youtu.be/RbLXys4Q-zc
สรานนท์ อินทนนท์ และพลินี เสริมสินสิริ. (2561). การศึกษาวิธีการป้องกันการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ของวัยรุ่น The Study of Youth Can Protect Themselves From Cyberbullying. ค้นเมื่อ 27 สิงหาคม 2563,
การใช้สื่อ social ในการbullyใครสักคน เป็นสิ่งที่ไม่สมควรมากๆค่ะ เพราะมันมีผลกระทบต่อคนๆนั้นเป็นอย่างมาก
ReplyDeleteมีการจัดเรียงเนื้อหาได้น่าอ่านมากค่ะ ในกรณีเคสศึกษาของผู้เขียนนั้นน่าเห็นใจเหยื่อมากๆ คิดว่าระบบการศึกษาควรยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดในนักเรียนหลายได้ตระหนักกันถึงผลกระทบ
ReplyDeleteน่าเห็นใจเหยื่อของการถูกกลั่นแกล้งทุกคนจริงๆค่ะ หวังว่าในอนาคตสิ่งเหล่านี้จะหมดไป
ReplyDeleteน่าสนใจมากค่ะ โซเชียลมีเดียก็เหมือนดาบสองคม ข้อดีมีมากมายถ้ารู้จักเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกันก็โทษมหันต์ได้ถ้าเอาไปใช้ในทางที่ผิด
ReplyDeleteโชเชียลมีทั้งด้านดีและด้านเสียจริงๆค่ะ เราควรใช้ประโยชน์ให้ถูกด้าน ดังนั้นเราควรระวังพฤติกรรมของเราบนสื่อโซเชียลมากๆ เพราะการกระทำของเราอาจจะทำให้คนอื่นเดือนร้อนได้
ReplyDeleteเนื้อหาดี มีสาระและสามารถนำไปใช้ได้จริงค่ะ
ReplyDeleteเนื้อหาดีครับ หวังว่าทุกคนจะเข้าใจถึงปัญหานี้เร็วๆ
ReplyDelete